วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ใบ(Leaf)




โครงสร้างของใบ
1. โครงสร้างภายนอกของใบ     
      ประเภทของใบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ใบเดี่ยว (Simple leaf) เป็นใบที่ในก้านใบ 1 ก้าน จะมีเพียงใบเดียว เช่น ใบมะม่วง พริก มะยม ใบมะละกอ ชมพู่ สาเก อ้อย ละหุ่ง มันสำปะหลัง
2. ใบประกอบ (Compound leaf) เป็นใบที่แผ่นใบแตกเป็นใบย่อยเล็กตั้งแต่ 2 ใบขึ้นไป ติดอยู่กับก้านใบใหญ่ ซอกใบไม่มีตา เช่น กุหลาบ ถั่ว กระถิน มะขาม ก้ามปู
โครงสร้างภายนอกของใบ ประกอบด้วย
1. แผ่นใบ (Blade)
2. ก้านใบ (Petiole)
3. หูใบ (Stipule) ป้องกันใบเมื่อยังอ่อน
4. เส้นกลางใบ (Midrib)
5. เส้นใบ (vein) ซึ่งแตกแขนงออกมาจากเส้นกลางใบอีกที
ซึ่งภายในเส้นใบและเส้นกลางใบ จะมี Vascular bundle มาหล่อเลี้ยงใบ โดยการเรียงตัวของเส้นใบนั้นแตกต่างกันในพืชดอก โดยพื่ชใบเลี้ยงเดี่ยวจะเป็นแบบขนาน ส่วนพืชใบเลี้ยงคู่จะเป็นแบบร่างแห
ใบไม้มักมีชั้น Cuticle เป็นสาร Cutin เคลือบด้านนอกป้องกันน้ำระเหย บางใบจะมี Wax เคลือบอยู่ ทำให้น้ำกลิ้งไปมาได้ เช่น ใบบอน ใบบัว
ภาพแสดงโครงสร้างภายนอกของใบ
2. โครงสร้างภายในของใบ
   ประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ เช่นเดียวกับลำต้น

              
 ที่มาของภาพนี้ http://nd-biology.tripod.com/mysite/images/leaf_xs.jpg
ภาพแสดงโครงสร้างภายในของใบ



1. เอพิเดอร์มิส เป็นเนื้อเยื่อผิว มีทั้งด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียวหรือหลายชั้น ได้แก่ เซลล์ผิว  เซลล์ขน หรือเปลี่ยนไปเป็นเซลล์คุม (guard cell) ภายในเซลล์ผิวมักไม่ค่อยมีคลอโรพลาสต์หรือมีน้อยยกเว้นเซลล์คุม  เซลล์ผิวมีคิวทินเคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านนอกเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากใบ  เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายไตหรือเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน  พืชที่ใบลอยปริ่มน้ำ เช่น บัวสาย จะมีปากใบ (stoma) อยู่เฉพาะทางด้านบนของใบเท่านั้น ส่วนพืชที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ เช่น สาหร่ายหางกระรอกจะไม่มีปากใบและไม่มีคิวทินฉาบผิว ใบพืชบางชนิดมีปากใบทั้งด้านบนและด้านล่าง เช่น ใบข้าวโพด
2. มีโซฟิลล์ (mesophyll) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้ง 2 ด้าน ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก โดยทั่วไปพาเรงคิมาในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเซลล์ 2 แบบ ทำให้โครงสร้างภายในแบ่งเป็น2 ชั้นคือ
                1. แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) มักพบอยู่ใต้ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วยเซลล์รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบคล้ายรั้วอาจมีแถวเดียวหรือหลายแถว ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ค่อนข้างหนาแน่นมาก
                2. สปันจีมีโซฟิลล์ (spongy mesophyll) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่นแต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์
3. มัดท่อลำเลียง ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอ็ม โดยไซเลมและโฟลเอ็มจะเรียงติดต่อถึงกันอยู่ในเส้นใบ พืชบางชนิดมัดท่อลำเลียงจะล้อมรอบด้วยบันเดิลชีท (bundle sheath) เช่น ใบข้าวโพด  บันเดิลชีทในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อไฟเบอร์ช่วยทำให้มัดท่อลำเลียงแข็งแรงเร็วขึ้น ในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ซึ่งจะมีคลอโรพลาสต์หรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช   มัดท่อลำเลียงส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นสปันจีมีโซฟิลล์
                          ที่มาของเนื้อหา http://nd-biology.tripod.com/mysite/nd_biology_03.html


       
     

        
 ที่มาของภาพนี้                
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/wactharee_p/sience/picture/leaves_04.jpg

หน้าที่ของใบมีดังนี้     1. ปรุงอาหาร หรือกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งจะเกิดเฉพาะ ในเวลากลางวัน และเกิดที่ใบเป็นส่วนใหญ่ ที่ลำต้น หรือส่วนประกอบอื่นที่มีสีเขียว ก็สามารถปรุงอาหารได้     2. หายใจ พืชจำเป็นต้องมีการหายใจตลอดเวลาเช่นเดียวกับสัตว์ ในเวลากลางวัน พืชจะหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาเมื่อเราเข้าไปในป่า หรือนั่งใต้ต้นไม้ในเวลากลางวันจึงรู้สึกสดชื่น เนื่องจากได้รับอากาศ บริสุทธิ์จากต้นไม้  
     3. คายน้ำ การคายน้ำเป็นการปรับอุณหภูมิภายในต้นพืชไม่ให้สูงมาก ในวันที่มีอากาศร้อนพืชจะคายน้ำมากกว่าวันที่อากาศปกติ

ที่มาของเนื้อหา  http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/wactharee_p/sience/sec03p03.html

ใบที่เจริญเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ (Modified leaf)
1. Storage leaf เป็นใบที่สะสมอาหารและน้ำ มีลัักษณะอวบหนาขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ใบว่านหางจระเข้
2. Reproductive leaf เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ขยาพันธุ์ เช่น ใบของต้นตายใบเป็น ใบโคมญี่ปุ่น
3. Bud scale เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเกล็ดหุ้มตาไวจนหลุดร่วงออกไปเมื่อตาเจริญ เช่น ไผ่ สาเก ยาง จำปี
4. Leaf spine เป็นใบที่เปลี่ยนไปเป็นหนาม เช่น หนามกระบองเพชร
5. Phyllode เป็นส่วนของก้านใบที่เปลี่ยนแปลงมาคล้ายใบมีสีเขียว เช่น ใบกระถินณรงค์
6. Buoyancy leaf เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นทุ่นลอยน้ำ พองขยายโต ภายในมีช่องอากาศมาก ช่วยในการลอยตัว เช่น ผักตบชวา
7. Leaf tendril เป็นใบที่เปลี่ยนไปยึดเกาะและพยุงลำต้นให้เจริญขึ้นไปที่สูง หรือพันรอบวัตถ มีลักษณะเป็นเส้นเีรียวเล้กๆ ม้วนตัวเป็นวงๆ เช่น มือเกาะของถั่วลันเตา และดองดึง
8. Scale leaf เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นเกล็ดเล็กๆ อาจมีขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บอาหาร เช่น กลีบหัวหอม กลีบกระเทียม
9. Bract เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงมาคล้ายกลีบดอก เป็นใบประดับ เช่น ดอกหน้าวัว ดอกเฟื่องฟ้า
10. Carnivorous leaf เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง เช่น ใบดักจับแมลงของต้นหม้อข้าวหม้อแกง กาบหอยแครง
  
ภาพแสดงใบพิเศษ เช่น ใบที่เปลื่ยนไปเป็นหนาม ใบที่เป็นกับดักแมลง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น