วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



 โครงสร้างของผลเมื่อรังไข่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นผล ผนังรังไข่จะเปลี่ยนเป็นเพริคาร์ป (pericarp) ห่อหุ้มเมล็ดอยู่ภายใน เพริคาร์ปของผลแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกัน ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ได้แก่ เอกโซคาร์ป มีโซคาร์ปและเอนโดคาร์ป
            1.1 เอกโซคาร์ป (exocarp) เป็นชั้นนอกสุดของผลที่มักเรียกว่าเปลือก โดยทั่วไปประกอบด้วยเนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิสเพียงชั้นเดียว แต่ก็มีผลบางชนิดที่เอกโซคาร์ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลายชั้นและอาจมีปากใบด้วย เอกโซคาร์ปของพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น เรียบเหนียว เป็นมัน ขรุขระ อาจมีหนาม มีขนหรือต่อมน้ำมัน
            1.2 มีโซคาร์ป (mesocarp) เป็นชั้นกลางถัดจากเอกโซคาร์ปเข้ามา ผลบางชนิดนั้นมีโซคาร์ปหนา บางชนิดบางมาก มีโซคาร์ปของผลบางชนิดเป็นเนื้ออ่อนนุ่มใช้รับประทานได้
            1.3 เอนโดคาร์ป (endocarp) เป็นชั้นในสุดของเพริคาร์ป ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่มีความหนาชั้นเดียวหรือหลายชั้นจนมีลักษณะหนามาก บางชนิดเป็นเนื้อนุ่มใช้รับประทานได้

         เพริคาร์ปของผลแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป ผลบางชนิดมีเพริคาร์ปเชื่อมติดกันจนแยกไม่ออก เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง บางชนิดส่วนเอกโซคาร์ปและมีโซคาร์ปเชื่อมติดกันหรือแยกกันไม่เด่นชัด เช่น มะเขือเทศ มะละกอ ฟัก แต่เพริคาร์ปของพืชอีกหลายชนิดสามารถแยกเป็น 3 ชั้นชัดเจน เช่น มะม่วง พุทรา มะพร้าว มะปราง
        ผลที่กำเนิดมาจากรังไข่แบบอินฟีเรีย เช่น แตงกวา ฟักทอง ทับทิมและฝรั่ง มีเปลือกนอกเป็นผนังของฐานดอก ส่วนเพริคาร์ปจะอยู่พัดเข้าไปและมักเชื่อมรวมกันจนสังเกตยาก ผลบางชนิดมีส่วนเนื้อที่รับประทานได้เจริญมาจากฐานดอกซึ่งอวบเต่งเจริญเป็นเนื้อผล เช่น แอปเปิ้ล ส่วนที่เป็นเพริคาร์ปจริง ๆ จะอยู่ข้างใน เนื้อของผลชนิดนี้เรียกว่า ซูโดคาร์ป (seudocarp)
เมล็ดพืชบางชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด ทานตะวัน ดาวเรือง ผักกาดหอม ส่วนที่เรียกว่า เมล็ดนั้นแท้จริงแล้วคือผล ซึ่งเป็นผลที่มีขนาดเล็ก มีเพริคาร์ปบางมากแนบสนิทกับเยื่อหุ้มเมล็ด ดังในกรณีของบัว ส่วนของแกลบก็คือเพริคาร์ป รำคือส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดและข้าวสารที่ใช้รับประทานคือ เอนโดสเปิร์ม

                                                                                                                                                                            


                                                      โครงสร้างภายในผลไม้ชนิดหนึ่ง
                  ที่มาของภาพนี้
http://www.dnp.go.th/botany/BFC/image/fruit_structure.gif
                       ที่มาของเนื้อหา  http://web.debsirin.ac.th/inkyman/plant/5-2.html






หน้าที่ของเมล็ด
                เมล็ดมีหน้าที่ในการแพร่พันธุ์  โดยวิธีการต่าง ๆ  ตามลักษณะเมล็ดพืช เช่น  อาศัยลม  น้ำ  คน สัตว์  การดีดกระเด็นของเมล็ดพืชเมื่อเมล็ดพืชแตก
                เมล็ดเมื่อได้รับความชื้น(น้ำ)  อากาศ  อุณหภูมิที่พอเหมาะ  เมล็ดจะงอกเป็นต้นใหม่  และเจริญเติบโตออกดอก  ผล  และเมล็ดวนเวียนเช่นนี้ ตลอดไป
                                          
                                                                     ภาพ เมล็ดทานตะวัน
ที่มาของภาพนี้
http://km.sadet.ac.th/file/napat_d/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%991.jpg
                                    ที่มาของเนื้อหา  http://student.nu.ac.th/duangjai/lesson7.htm




 


      
                                                                 ภาพ ผลไม้ชนิดต่างๆ
               ที่มาของภาพนี้ 
http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/374/25374/images/pic1.jpg
ชนิดของผล
        การจำแนกประเภทของผล สามารถกระทำได้โดยอาศัยลักษณะต่าง ๆ ของผลเป็นหลักในการจำแนก ได้แก่ โครงสร้างของดอกที่เจริญกลายเป็นผล จำนวนและชนิดของรังไข่ จำนวนคาร์เพลในรังไข่ ลักษระของเพริคาร์ปเมื่อผลแก่ ลักษณะการแตกหรือไม่แตกของเพริคาร์ปเมื่อแก่ ตลอดจนส่วนอื่น ๆ ของดอกที่เจริญเป็นส่วนประกอบของผล
            1 ผลเดี่ยว (simple fruit) คือผลที่เจริญมาจากรังไข่อันเดียวภายในดอกหนึ่ง ๆ รังไข่นี้อาจประกอบด้วยคาร์เพลเดียวหรือหลายคาร์เพลเชื่อมกัน ดอกเป็นชนิดดอกเดี่ยวหรือช่อดอกก็ได้ผลเดี่ยวยังสามารถจำแนกตามลักษณะของเพริคาร์ปได้เป็น ผลสดและผลแห้ง
                1.1 ผลสด (fleshy fruit) เป็นผลเดี่ยวที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีเนื้อนุ่มและสดจำแนกได้ดังนี้
                        1) ดรูป (drupe) เป็นผลสดชนิดที่เพริคาร์ปแบ่งเป็น 3 ชั้น เอนโดคาร์ปแข็งมากอาจเรียกว่า สโตนฟรุต (stone fruit) เอนโดคาร์ปมักติดกับเปลือกหุ้มเมล็ดซึ่งมีอยู่เมล็ดเดียวมีโซคาร์ปเป็นเนื้อนุ่มหรือเป็นเส้นเหนียว ๆ ส่วนเอกโซคาร์ปเรียบเป็นมัน มีคาร์เพลเดียวหรือหลายเคร์เพล เช่น มะม่วงพุทรา มะปราง มะกอก มะพร้าว ตาล เชอรี่ ท้อ
                        2) เบอรี (berry) เป็นผลสดที่มีเพริคาร์ปอ่อนนุ่ม เอกโซคาร์ปเป็นผิวบาง ๆ มีโซคาร์ป และเอนโดคาร์ปรวมกันแยกได้ไม่ชัดเจน เช่น มะเขือ มะเขือเทศ พริก องุ่น กล้วย ฝรั่ง

                        3) เพโป (pepo) เป็นผลสดที่มีลักษณะคล้ายเบอรี แต่มีเปลือกนอกหนาเหนียวและแข็ง เจริญมาจากฐานดอกเชื่อมรวมกับเอกโซคาร์ป ชั้นมีโซคาร์ปและเอนโดคาร์ปเป็นเนื้อเยื่อนุ่ม ผลชนิดนี้มักเจริญมาจากดอกที่มีรังไข่แบบอินฟีเรีย เช่น ฟัก แฟง แตงกวา น้ำเต้า บวบ มะตูม
                        4) เฮสเพริเดียม (hesperidium) เป็นผลสดที่มีเอกโซคาร์ปค่อนข้างแข็งและเหนียว มีต่อมน้ำมันมาก เปลือกประกอบด้วยเอกโซคาร์ปและมีโซคาร์ปซึ่งติดกันและมองเกือบไม่เห็นรอยแยก แต่ชั้นมีโซคาร์ปจะมีสีขาวและไม่ค่อยมีต่อมน้ำมัน เอนโดคาร์ปเป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มเนื้อ บางส่วนจะเปลี่ยนไปเป็นขนหรือถุงสำหรับเก็บน้ำ (juice sac) ซึ่งเป็นเนื้อที่ใช้รับประทาน เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด

                        5) โพม (pome) เป็นผลสดที่เจริญมาจากดอกที่มีรังไข่แบบอินฟีเรีย มีหลายคาร์เพล เนื้อผลส่วนใหญ่มาจากฐานดอกหรือส่วนฐานของกลีบดอก กลีบเลี้ยงและก้านเกสรตัวผู้ซึ่งเชื่อมติดกัน โอบล้อมผนังรังไข่ เนื้อส่วนน้อยที่อยู่ด้านในเกิดจากเพริคาร์ป ส่วนเอนโดคาร์ปจะบางหรือมีลักษณะกรุบ ๆ คล้ายกระดูกอ่อน เช่น แอปเปิล สาลี่ ชมพู่
                        6) แอริล (arill) เป็นผลสดซึ่งเนื้อที่รับประทานได้เรียกว่าแอริล เจริญมาจากส่วนของเมล็ดซึ่งเจริญออกมาห่อหุ้มเมล็ด (outgrowth of seed) และมีเพริคาร์ปเป็นเปลือกห่อหุ้มอยู่ชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง เช่น เงาะ ลำไย

                1.2 ผลแห้ง (dry fruit) เป็นผลเดี่ยวที่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วเพริคาร์ปจะแห้งจำแนกย่อยเป็นผลแห้งแตกเองได้และผลแห้งแล้วไม่แตก
                      1) ผลแห้งแตกเองได้ (dehiscent dry fruit) เป็นผลที่เมื่อแก่แล้วเพริคาร์ปจะแห้งและแตกได้ จำแนกย่อยได้ดังนี้
                                 - เลกูม (legume) เป็นผลที่เกิดจากดอกที่มีรังไข่คาร์เพลเดียว ภายในมีเมล็ดมากติดอยู่ด้านข้างผล เมื่อผลแก่จะแตกออกเป็นสองซีกตามรอยตะเข็บ เช่น ถั่ว แค กระถิน ชงโค
                                 - ฟอลลิเคิล (follicle) เป็นผลที่เกิดจากดอกที่มีรังไข่คาร์เพลเดียว ภายในมีเมล็ดมาก เมื่อผลแก่จะแตกตามรอยตะเข็บเพียงด้านเดียว เช่น รัก ขจร ยี่หุบ ลั่นทม แพงพวย แมกคาเดเมีย
                                 - แคปซูล (capsule) เป็นผลที่เกิดจากดอกที่มีรังไข่หลายคาร์เพลมาเชื่อมกัน เมื่อผลแก่จะแตกตามรอยหรือมีช่องเปิดให้เมล็ดออก จำแนกตามการแตกของผลได้ดังนี้
                                 - โลคูลิซิดัลแคปซูล (loculicidal capsule) เป็นผลที่แตกออกตรงกลางพูหรือกึ่งกลางของคาร์เพล เช่น ทุเรียน ตะแบก อินทนิล ฝ้าย
                                 - เซปทิซิดัลแคปซูล (septicidal capsule) เป็นผลที่แตกตรงผนังกั้นพู (septum) หรือแนวเชื่อมระหว่างคาร์เพล เช่น กระเช้าสีดา

                                 - เซอร์คัมเซสไซล์แคปซูล (circumessile capsule) เป็นผลที่แตกเป็นวงรอบ ๆ ผลตามขวาง มีลักษณะคล้ายฝาเปิด เช่น หงอนไก่ แพรเซี่ยงไฮ้
                                 - ซิลิก (silique) เป็นผลที่เกิดจากรังไข่ที่มีสองคาร์เพลติดกัน เมื่อผลแก่เพริคาร์ปจะแตกตรงกลางตะเข็บโดยเริ่มจากก้านขึ้นไปสู่ปลายเป็นสองซีก เหลือผนังบาง ๆ (septum) ติดก้านอยู่ เช่น ผักกาด ผักเสี้ยน ต้อยติ่ง
                                 - ซิโซคาร์ป (schizocarp) เป็นผลที่เกิดจากรังไข่ที่มีหลายคาร์เพล เมื่อแก่จะแตกออกเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า เมริคาร์ป (mericarp) และมีเมล็ดอยู่ภายในซีกละเมล็ด เช่น ผักชี ยี่หรา ขึ้นฉ่าย แครอต

                      2) ผลแห้งแล้วไม่แตก (indehiscent dry fruit) เป็นผลที่เมื่อแก่แล้วจะไม่แตกออกเอง โดยปติมีเมล็ดน้อยเพียง 1 - 2 เมล็ดเท่านั้น จำแนกย่อยได้ดังนี้
                                 - เอคีน (achene) เป็นผลขนาดเล็ก มีเมล็ดเดียว เพริคาร์ปแข็ง ไม่เชื่อมรวมติดกับเปลือกหุ้มเมล็ด นอกจากตรงก้านฟันนิคิวลัสเท่านั้น เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง บางชื่น ดาวกระจาย
                                 - ซารามา (samara) เป็นผลที่มีส่วนของเพริคาร์ปแผ่ออกเป็นแกแบน ๆ บาง ๆ เพื่อให้ลอยไปกับลมได้ มี 1 - 2 คาร์เพล แต่ละคาร์เพลมีเมล็ดเดียว เช่น ประดู่ ตะเคียน
                                 - คาริออปซิส (caryopsis) เป็นผลที่มีขนาดเล็ก มีเมล็ดเดียวคล้ายเอคีน แต่เพริคาร์ปเชื่อมรวมกันแน่นกับเปลือกหุ้มเมล็ดโดยตลาด เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี
                                 - โลเมนตัม (lomentum) เป็นผลที่มี่ลักษณะคล้ายเลกูม มีคาร์เพลเดียว หักเป็นข้อ ๆ ได้ตามขวาง แต่ละข้อมีเมล็ดเดียว ผลชนิดนี้มักเป็นฝักยาว เช่น จามจุรี คูน มะขาม

           2.2 ผลกลุ่ม (aggregate fruit) คือผลที่เจริญมาจากหลาย ๆ รังไข่ที่อยู่ในดอกเดียวกัน โดยอยู่บนรากฐานดอกเดียวกัน รังไข่แต่ละอันจะเจริญเป็นผลย่อยหลาย ๆ ผล บางชนิดผนังรังไข่แต่ละอันอยู่อัดกันแน่นจนผนังเชื่อมรวมกันทำให้ดูคล้ายเป็นผลเดี่ยว เช่น น้อยหน่า สตรอเบอรี่ แต่บางชนิดแม้ผนังรังไข่จะอัดกันแน่นแต่จะไม่เชื่อมรวมกัน เช่น ลูกจาก นอกจากนี้ผลกลุ่มบางชนิดจะแยกเป็นผลเล็ก ๆ หลายผลอยู่บนฐานดอกเดียวกัน เช่น กระดังงา การะเวก นมแมว จำปี จำปา สำหรับสตรอเบอรีนั้นเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากฐานดอกซึ่งเชื่อมรวมกันแล้วมีผลย่อย ๆ ซึ่งเป็นผลเดียวชนิดเอคีนติดอยู่ผิวนอก
           2.3 ผลรวม (multiple fruit) คือผลที่เจริญมาจากกลุ่มรังไข่ของช่อดอกซึ่งเชื่อมรวมกันแน่นบนฐานดอกหรือก้านดอกรวมเดียวกัน รังไข่เหล่านี้จะกลายเป็นผลย่อย ๆ และเชื่อมกันแน่นจนเป็นผลรวมหนึ่งผล บางชนิดอาจมีส่วนอื่น ๆ ของดอก ได้แก่ ฐานดอก กลีบดอก กลีบเลี้ยงและยอดเกสรตัวเมียเจริญควบคู่มากับรังไข่แล้วกลายเป็นส่วนของผลด้วย เช่น สับปะรด ขนุน ยอ สาเก
สับปะรดเป็นผลรวมที่มีส่วนที่เป็นไส้กลางเจริญมาจากแกนกลางของช่อดอกชนิดสไปก์เนื้อที่รับประทานส่วนนอก ๆ เกิดจากรังไข่โดยมีส่วนโคนเชื่อมกันแน่น เนื้อส่วนในเกิดจากแกนของช่อดอก ส่วนที่เป็นแผ่นคลุมตาคือใบประดับ
ผลขนุน สาเกและยอ มีซังและเนื้อเป็นส่วนกลีบรวม (tepal) ยอดเกสรตัวเมียจะกลายเป็นแผ่นติดกันเป็นส่วนผิวและหนามที่หุ้มผลไว้
 
                                 ที่มาของเนื้อหา
http://web.debsirin.ac.th/inkyman/plant/5-3.html

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน


ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน

10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

มีสาระมาเยอะ มาดูความรู้เพิ่มเติมบ้าง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก treknature.com , angkorandpeople.com , philamfood.com ,myanmars.net  


          เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น การรวมตัวกันของประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว (พ.ศ.2558) เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนาแต่ละประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยกับเขาด้วย วันนี้ กระปุกดอทคอม จึงมีข้อมูลเบา ๆ เกี่ยวกับดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติอาเซียนในแต่ละประเทศมาฝากกันเพื่อเพิ่มเติมความรู้ ว่าแต่จะมีดอกไม้อะไรบ้าง อย่ารอช้ารีบไปดูกันเลย..

10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 1. บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : ดอกซิมปอร์

          ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล หากใครแวะไปเยือนบรูไน จะพบเห็นได้จากธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ ของประเทศบรูไน และในงานศิลปะพื้นเมืองอีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 2. ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia) : ดอกลำดวน

          กัมพูชามีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกลำดวน (Rumdul) ดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล กลีบดอกหนาทึบและแข็งเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเย็นแบบกรุ่น ๆ ถูกจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งเพราะมีความหมายถึงความสดชื่นหอมกรุ่น และเป็นดอกไม้สำหรับสุภาพสตรี วิธีปลูกที่ถูกต้อง ต้องปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ที่สำคัญต้องปลูกในวันพุธ ด้วยนะ


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) : ดอกกล้วยไม้ราตรี

          ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งเป็นหนึ่งในดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด โดยช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน โดยดอกจะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ดอกกล้วยไม้ราตรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ง่ายในพื้นที่ราบต่ำของประเทศอินโดนีเซีย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR) : ดอกจำปาลาว

          ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 5. ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) : ดอกพู่ระหง

          สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) : ดอกพุดแก้ว

          ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 7. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore) : ดอกกล้วยไม้แวนด้า

          ประเทศสิงคโปร์ มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 8. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) : ดอกราชพฤกษ์

          ดอกไม้ประจำชาติไทยของเรา ก็คือ ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) ที่มีสีเหลืองสวยสง่างาม เมื่อเบ่งบานแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งชาวไทยหลายคนรู้จักกันดีในนามของ ดอกคูน โดยมีความเชื่อว่าสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์คือสีแห่งพระพุทธศาสนาและความรุ่งโรจน์ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกด้วย โดยดอกราชพฤกษ์จะเบ่งบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม มีจุดเด่นเวลาเบ่งบานคือการผลัดใบออกจนหมดต้น เหลือไว้เพียงแค่สีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์เท่านั้น


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 9. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam) : ดอกบัว

          ประเทศเวียดนาม มีดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง ดอกบัว (Lotus) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกบัวเป็นที่รู้จักกันในนาม “ดอกไม้แห่งรุ่งอรุณ” เป็ญสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี ดอกบัวจึงมักถูกกล่าวถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 10. สหภาพพม่า (Union of Myanmar) : ดอกประดู่

          ดอกไม้ประจำชาติของประเทศพม่า คือ ดอกประดู่ (Paduak) เป็นดอกไม้ที่พบมากในประเทศพม่า มีสีเหลืองทอง ผลิดอกและส่งกลิ่นหอมในฤดูฝนแรก ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศพม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้น ชาวพม่าเชื่อว่าดอกประดู่คือสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่าเลยล่ะ

รู้จักกันไปแล้วสำหรับดอกไม้ประจำชาติอาเซียนทั้ง 10 ชาติ ที่หลายดอกก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดีและเคยเห็นในประเทศไทยอยู่บ้าง หากพบเจอเพื่อนร่วมประชาคมอาเซียนที่แวะมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยแล้วล่ะก็ ลองมอบดอกไม้เหล่านี้ให้เพื่อเป็นการต้อนรับ ก็คงจะสร้างความปลื้มใจให้ไม่น้อยอยู่เหมือนกันนะ


วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

ดอก(flower)





โครงสร้างของดอกไม้ 
ดอกไม้ทั่วไปประกอบด้วยระยางค์ต่างๆ 4 ส่วน แต่ละส่วนจะเรียงเป็นชั้นเป็นวง เรียงตามลำดับจากนอกสุดเข้าสู่ด้านในคือ
1. กลีบเลี้ยง (Sepal) เป็นส่วนของดอกที่อยู่นอกสุด เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากใบ จึงมักมีสีเขียว ทำหน้าที่ห่อหุ้มป้องกันอันตรายต่างๆ ให้แก่ส่วนในของดอก นอกจากนี้จะช่วยในการสังเคราะห์แสงได้ด้วย กลีบเลี้ยงของพืชอาจอยู่แยกกันเป็นกลีบๆ เรียกว่า อะโปเซพัลลัส (Asoposepalous) หรือพอลิเซพัลลัส (Polysepalous) ได้แก่ กลีบเลี้ยงของดอกบัวสาย และดอกพุทธรักษา แต่บางชนิดกลีบเลี้ยงจะเชื่อมติดกันเรียกว่า แกมโมเซพัลลัส(Gamosepalous) หรือ ซินเซพัลลัส (Synsepalous) ได้แก่ กลีบเลี้ยงของดอกชบา แตง บานบุรี และดอกแค เป็นต้น วงกลีบเลี้ยงทั้งหมดนี้เรียกว่า แคลิกซ์ (Calyx)
ในพืชบางชนิดกลีบเลี้ยงมีสีต่างๆ นอกจากสีเขียวเรียกว่า เพทัลลอยด์ (Petaloid) ทำหน้าที่ช่วยล่อแมลงในการผสมเกสร เช่นเดียวกับกลีบดอก นอกจากนี้ในดอกชบา และดอกพู่ระหงจะมี ริ้วประดับ (Epicalyx) เป็นกลีบเลี้ยงเล็กๆ ใกล้กลีบเลี้ยง

2. กลีบดอก (Petal) เป็นส่วนของดอกที่อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยงเข้าไปข้างใน มักมีสีสันต่างๆ สวยงาม เนื่องจากมีรงควัตถุชนิดต่างๆ ได้แก่ แอนโทไซยานิน(Anthocyanin) และแอนโทแซนทิน (Anthoxanthin) ละลายอยู่ในสารละลายแวคิวโอล ทำให้กลีบดอกเป็นสีต่างๆ เช่น สีม่วง สีแดง สีน้ำเงิน หรืออาจมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในพลาสติด ทำให้กลีบดอกเป็นสีเหลือง หรือแสด ส่วนดอกสีขาวและไม่มีสีเกิดจากไม่มีรงควัตถุอยู่ภายในเซลล์ของกลีบดอก นอกจากนี้กลีบดอกของพืชบางชนิด อาทิเช่น ดอกพุดตาลสามารถเปลี่ยนสีได้ ทั้งนี้เนื่องจากความเป็นกรดและด่างภายในเซลล์ของกลีบดอกเปลี่ยนแปลงไป วงของกลีบดอกทั้งหมดเรียกว่า collora
ทั้งกลีบเลี้ยงและกลีบดอกจัดเป็นส่วนประกอบรอง (Acessory part) ห่อหุ้มอยู่รอบนอกของดอก พืชบางชนิดกลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีลักษณะเหมือนกัน แยกกันไม่ออกเรียกชั้นนี้ว่า วงกลีบรวม (Perianth) กลีบแต่ละกลีบเรียกว่า ทีพัล (Tepal) ได้แก่ บัวหลวง จำปี และจำปา เป็นต้น
3. เกสรตัวผู้ (Stamen) เป็นส่วนของดอกที่จำเป็นในการสืบพันธุ์ อยู่ถัดจากกลีบดอกเข้าไป ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ เกสรตัวผู้มักมีหลายอันเรียงเป็นชั้นหรือเป็นวงเรียกว่าแอนดรีเซียม (Andrecium) เกสรตัวผู้แต่ละอันอาจอยู่แยกกัน หรือเชื่อมติดกัน บางชนิดอาจติดกับส่วนอื่นของดอกก็ได้ เกสรตัวผู้แต่ละอันจะประกอบขึ้นด้วย ก้านเกสรตัวผู้ (Filament) และ อับเรณู (Anther) ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงมี 2 พู ภายในแบ่งเป็นถุงเล็กๆ ยาว 4 ถุงเรียกว่า ถุงเรณู (Pollen sac หรือ Microsporangium) จะบรรจุละอองเรณู (Pollen grain) จำนวนมาก ทำหน้าที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ตัวผู้ เมื่อดอกเจริญเต็มที่แล้ว ถุงเรณูจะแตกออก ละอองเรณูจะปลิวออกมา จำนวนเกสรตัวผู้ในแต่ละดอกจะแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช พืชโบราณมักมีเกสรตัวผู้จำนวนมากในขณะที่พืชซึ่งมีวิวัฒนาการสูงขึ้น จำนวนเกสรตัวผู้ในดอกจะลดน้อยลง อนึ่งเกสรตัวผู้ของพืชบางชนิดอาจเป็นหมัน จึงไม่สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ หรือละอองเรณูได้เรียกว่า สตามิโนด (Staminode) ตัวอย่างเช่น เกสรบางอันของกล้วย และชงโค บางชนิดอาจมีสีสันสวยงามแผ่เป็นแผ่นแบน คล้ายกลีบดอกเรียกว่า เพทัลลอยด์สตามิโนด (Petaloid staminode) เช่น พุทธรักษา
4. เกสรตัวเมีย (Pistil or carpel) เป็นส่วนของดอกที่อยู่ในสุด และจำเป็นในการสืบพันธุ์ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เกสรตัวเมียในแต่ละดอกอาจมี 1 หรือหลายอันซึ่งแยกจากกันเป็นอิสระ หรือเชื่อมติดกัน ชั้นของเกสรตัวเมียเรียกว่า จินนีเซียม (Gymnoecium) เกสรตัวเมียแต่ละอันประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 3 ส่วน คือ


                                    

                   

1) รังไข่ (Ovary) เป็นส่วนที่พองโตออกเป็นกระพุ้ง
2) ก้านชูเกสรตัวเมีย (Style) เป็นเส้นเรียวยาวเล็กๆ ทำหน้าที่ชูเกสรตัวเมีย และเป็นทางผ่านของหลอดละอองเรณู (Pollen tube) 
3) ยอดเกสรตัวเมีย (Stigma) อยู่ส่วนปลายของละอองเรณูซึ่งมักพองออกเป็นปมมีขนหรือน้ำเหนียวๆ สำหรับจับละอองเรณูที่ปลิวมา หรือพาหะพามา
ดอกบางชนิดไม่มีก้านเกสรตัวเมีย ยอดเกสรตัวเมียจะติดกับด้านบนของรังไข่โดยตรง เช่น ดอกมังคุด เป็นต้น
ภายในรังไข่แต่ละอันจะมีโอวุล (Ovule) 1 หรือหลายอัน แต่ละโอวุลจะมีไข่ (Egg) ซึ่งเมื่อผสมกับสเปิร์ม (Sperm) แล้วจะกลายเป็นไซโกต (Zygote) และมีการเจริญเติบโตพัฒนาต่อไปเป็นเอมบริโอ (Embryo) หรือต้นอ่อน ส่วนโอวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ดห่อหุ้มเอมบริโอไว้ โอวุลจะติดกับผนังรังไข่ด้วยก้านเล็กๆ เรียกว่า ฟันนิคูลัส (Funiculus) ผนังของรังไข่ตรงที่ฟันนิคูลัสมาเกาะมักพองโตเล็กน้อยเรียกว่า รก (Placenta)
ฐานรองดอก (Receptacle) เป็นส่วนปลายสุดของก้านดอก เปลี่ยนสภาพมาจากกิ่งเพื่อรองรับส่วนต่างๆ ของดอก มีรูปร่างแตกต่างกันไปหลายแบบ อาทิเช่น แผ่แบนคล้ายจาน เช่น ทานตะวันเว้าเป็นรูปถ้วย เช่น กุหลาบ นูนสูง เช่น สตรอเบอรี่ เป็นต้น
ริ้วประดับ (Bract) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ช่วยรองรับดอก หรือช่อดอก อยู่บริเวณโคนก้านดอก มักมีสีเขียว มีรูปร่างต่างๆ เช่น คล้ายใบที่ลดขนาดลง หรือเปลี่ยนมาเป็นริ้วเล็กๆ ในดอกชบา พู่ระหง ริ้วประดับมีสีเขียวคล้ายกลีบเลี้ยงเล็กๆ เรียกว่า เอพิแคลิกซ์ (Epicalyx) ริ้วประดับของดอกทานตะวันเป็นใบเล็กๆ ซ้อนอยู่เป็นชั้นๆ บางครั้งริ้วประดับอาจมีสีฉูดฉาดสวยงามคล้ายกลีบดอก เช่น เฟื่องฟ้า คริสต์มาส ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิดริ้วประดับแผ่เป็นแผ่นใหญ่แผ่นเดียว อาจมีสีสันสวยงาม เช่น ดอกหน้าวัว อุตพิต หรือกาบปลีกล้วย มะพร้าว และหมาก เป็นต้น
                 ที่มาของเนื้อหา  http://yaipu.blogspot.com/2009/08/blog-post_30.html



หน้าที่ของดอก
1. ก้านดอก (Peduncle) ทำหน้าที่ชูดอก และทำให้ดอกติดกับกิ่งหรือลำต้น

2. กลีบเลี้ยง (Sepal) เป็นส่วนที่อยู่ชั้นนอกสุดของดอกไม้ มีลักษณะเป็นกลีบเล็กๆ เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากใบ มักมีสีเขียวทำหน้าที่ห่อหุ้มและป้องกันอันตรายให้กับส่วนประกอบต่างๆ ของดอกที่ยังตูมอยู่ ป้องกันอันตรายจากแมลงหรือศัตรูพืช และช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ
3. กลีบดอก (Petal) เป็นส่วนที่อยู่ถัดกลีบเลี้ยงเข้ามา กลีบดอกส่วนใหญ่จะมีสีสันสวยงามบางทีก็มีกลิ่นหรือต่อมน้ำหวานบริเวณโคนของกลีบดอก เพื่อใช้ในการล่อแมลงให้มาผสมเกสร
4. เกสรตัวผู้ (Stamen) เป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ ประกอบด้วยก้านชูอับเรณู และอับเรณู ทำหน้าที่สร้างละอองเรณู (เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้) เพื่อใช้ในการผสมพันธุ์
5. เกสรตัวเมีย (Pistil) เป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย ประกอบด้วยยอดเกสรตัวเมีย ซึ่งมีน้ำหนักเหนียวเพื่อช่วยดักละอองเรณู และก้านชูเกสรตัวเมีย นอกจากนี้ยังมีรังไข่ ภายในรังไข่จะมี ออวุลรังไข่ทำหน้าที่สร้างไข่ (เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย)
6. ฐานรองดอก (Receptacle)เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รองรับกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย
  ที่มาชองเนื้อหา http://writer.dek-d.com/FullMoonParty/story/view.php?id=177701







ชนิดของดอก       
                                                               
         



ถ้าพิจารณาส่วนประกอบของดอกไม้เป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 ชนิดคือ
1. ดอกครบส่วน คือดอกไม้ที่มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ส่วน คือกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ภายในดอกเดียวกันเช่น ดอกบานบุรี ชบา กุหลาบ ต้อยติ่ง ดอกบัวหลวง อัญชัญ ผักบุ้ง พริก มะเขือ 



ภาพ ดอกชบา

 ที่มาของภาพนี้ http://www.arowanacafe.com/webboard/pictures/1127650784.jpg



2. ดอกไม่ครบส่วน คือดอกไม้ที่ส่วนประกอบของดอกไม่ครบทั้ง 4 ส่วน ในดอกเดียวกัน เช่น ดอกมะละกอ ดอกตำลึง ฟักทอง แตงกวา บวบ เฟื่องฟ้า กล้วยไม้ บานเย็น หน้าวัว





ภาพ ดอกมะละกอ

 ที่มาของภาพนี้ 




ถ้าพิจารณาโดยใช้เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียเป็นเกณฑ์ในการแบ่งดอกไม้ ได้ 2 ประเภท

1. ดอกสมบูรณ์เพศ คือดอกไม้ที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน เช่น ดอกชบา มะม่วง กุหลาบ ดอกบัว ต้อยติ่ง  ผักบุ้ง ถั่ว ดอกมะเขืิอ

                  ภาพ ดอกกุหลาบ
 ที่มาของภาพนี้ http://www.bloggang.com/data/jaj2525/picture/1195461569.jpg 


2. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือดอกไม้ที่เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่คนละดอก เช่น ดอกตำลึง ฟักทอง มะละกอ ข้าวโพด มะยม 

                            
 ภาพ ดอกตำลึง
          ที่มาของภาพนี้  http://www.bloggang.com/data/fantail/picture/1150900577.jpg

ที่มาของเนื้อหา http://www.sritani.ac.th/ebook/sci01/p2.htm





วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ใบ(Leaf)




โครงสร้างของใบ
1. โครงสร้างภายนอกของใบ     
      ประเภทของใบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ใบเดี่ยว (Simple leaf) เป็นใบที่ในก้านใบ 1 ก้าน จะมีเพียงใบเดียว เช่น ใบมะม่วง พริก มะยม ใบมะละกอ ชมพู่ สาเก อ้อย ละหุ่ง มันสำปะหลัง
2. ใบประกอบ (Compound leaf) เป็นใบที่แผ่นใบแตกเป็นใบย่อยเล็กตั้งแต่ 2 ใบขึ้นไป ติดอยู่กับก้านใบใหญ่ ซอกใบไม่มีตา เช่น กุหลาบ ถั่ว กระถิน มะขาม ก้ามปู
โครงสร้างภายนอกของใบ ประกอบด้วย
1. แผ่นใบ (Blade)
2. ก้านใบ (Petiole)
3. หูใบ (Stipule) ป้องกันใบเมื่อยังอ่อน
4. เส้นกลางใบ (Midrib)
5. เส้นใบ (vein) ซึ่งแตกแขนงออกมาจากเส้นกลางใบอีกที
ซึ่งภายในเส้นใบและเส้นกลางใบ จะมี Vascular bundle มาหล่อเลี้ยงใบ โดยการเรียงตัวของเส้นใบนั้นแตกต่างกันในพืชดอก โดยพื่ชใบเลี้ยงเดี่ยวจะเป็นแบบขนาน ส่วนพืชใบเลี้ยงคู่จะเป็นแบบร่างแห
ใบไม้มักมีชั้น Cuticle เป็นสาร Cutin เคลือบด้านนอกป้องกันน้ำระเหย บางใบจะมี Wax เคลือบอยู่ ทำให้น้ำกลิ้งไปมาได้ เช่น ใบบอน ใบบัว
ภาพแสดงโครงสร้างภายนอกของใบ
2. โครงสร้างภายในของใบ
   ประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ เช่นเดียวกับลำต้น

              
 ที่มาของภาพนี้ http://nd-biology.tripod.com/mysite/images/leaf_xs.jpg
ภาพแสดงโครงสร้างภายในของใบ



1. เอพิเดอร์มิส เป็นเนื้อเยื่อผิว มีทั้งด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียวหรือหลายชั้น ได้แก่ เซลล์ผิว  เซลล์ขน หรือเปลี่ยนไปเป็นเซลล์คุม (guard cell) ภายในเซลล์ผิวมักไม่ค่อยมีคลอโรพลาสต์หรือมีน้อยยกเว้นเซลล์คุม  เซลล์ผิวมีคิวทินเคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านนอกเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากใบ  เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายไตหรือเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน  พืชที่ใบลอยปริ่มน้ำ เช่น บัวสาย จะมีปากใบ (stoma) อยู่เฉพาะทางด้านบนของใบเท่านั้น ส่วนพืชที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ เช่น สาหร่ายหางกระรอกจะไม่มีปากใบและไม่มีคิวทินฉาบผิว ใบพืชบางชนิดมีปากใบทั้งด้านบนและด้านล่าง เช่น ใบข้าวโพด
2. มีโซฟิลล์ (mesophyll) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้ง 2 ด้าน ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก โดยทั่วไปพาเรงคิมาในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเซลล์ 2 แบบ ทำให้โครงสร้างภายในแบ่งเป็น2 ชั้นคือ
                1. แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) มักพบอยู่ใต้ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วยเซลล์รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบคล้ายรั้วอาจมีแถวเดียวหรือหลายแถว ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ค่อนข้างหนาแน่นมาก
                2. สปันจีมีโซฟิลล์ (spongy mesophyll) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่นแต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์
3. มัดท่อลำเลียง ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอ็ม โดยไซเลมและโฟลเอ็มจะเรียงติดต่อถึงกันอยู่ในเส้นใบ พืชบางชนิดมัดท่อลำเลียงจะล้อมรอบด้วยบันเดิลชีท (bundle sheath) เช่น ใบข้าวโพด  บันเดิลชีทในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อไฟเบอร์ช่วยทำให้มัดท่อลำเลียงแข็งแรงเร็วขึ้น ในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ซึ่งจะมีคลอโรพลาสต์หรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช   มัดท่อลำเลียงส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นสปันจีมีโซฟิลล์
                          ที่มาของเนื้อหา http://nd-biology.tripod.com/mysite/nd_biology_03.html


       
     

        
 ที่มาของภาพนี้                
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/wactharee_p/sience/picture/leaves_04.jpg

หน้าที่ของใบมีดังนี้     1. ปรุงอาหาร หรือกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งจะเกิดเฉพาะ ในเวลากลางวัน และเกิดที่ใบเป็นส่วนใหญ่ ที่ลำต้น หรือส่วนประกอบอื่นที่มีสีเขียว ก็สามารถปรุงอาหารได้     2. หายใจ พืชจำเป็นต้องมีการหายใจตลอดเวลาเช่นเดียวกับสัตว์ ในเวลากลางวัน พืชจะหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาเมื่อเราเข้าไปในป่า หรือนั่งใต้ต้นไม้ในเวลากลางวันจึงรู้สึกสดชื่น เนื่องจากได้รับอากาศ บริสุทธิ์จากต้นไม้  
     3. คายน้ำ การคายน้ำเป็นการปรับอุณหภูมิภายในต้นพืชไม่ให้สูงมาก ในวันที่มีอากาศร้อนพืชจะคายน้ำมากกว่าวันที่อากาศปกติ

ที่มาของเนื้อหา  http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/wactharee_p/sience/sec03p03.html

ใบที่เจริญเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ (Modified leaf)
1. Storage leaf เป็นใบที่สะสมอาหารและน้ำ มีลัักษณะอวบหนาขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ใบว่านหางจระเข้
2. Reproductive leaf เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ขยาพันธุ์ เช่น ใบของต้นตายใบเป็น ใบโคมญี่ปุ่น
3. Bud scale เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเกล็ดหุ้มตาไวจนหลุดร่วงออกไปเมื่อตาเจริญ เช่น ไผ่ สาเก ยาง จำปี
4. Leaf spine เป็นใบที่เปลี่ยนไปเป็นหนาม เช่น หนามกระบองเพชร
5. Phyllode เป็นส่วนของก้านใบที่เปลี่ยนแปลงมาคล้ายใบมีสีเขียว เช่น ใบกระถินณรงค์
6. Buoyancy leaf เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นทุ่นลอยน้ำ พองขยายโต ภายในมีช่องอากาศมาก ช่วยในการลอยตัว เช่น ผักตบชวา
7. Leaf tendril เป็นใบที่เปลี่ยนไปยึดเกาะและพยุงลำต้นให้เจริญขึ้นไปที่สูง หรือพันรอบวัตถ มีลักษณะเป็นเส้นเีรียวเล้กๆ ม้วนตัวเป็นวงๆ เช่น มือเกาะของถั่วลันเตา และดองดึง
8. Scale leaf เป็นใบที่เปลี่ยนเป็นเกล็ดเล็กๆ อาจมีขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บอาหาร เช่น กลีบหัวหอม กลีบกระเทียม
9. Bract เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงมาคล้ายกลีบดอก เป็นใบประดับ เช่น ดอกหน้าวัว ดอกเฟื่องฟ้า
10. Carnivorous leaf เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง เช่น ใบดักจับแมลงของต้นหม้อข้าวหม้อแกง กาบหอยแครง
  
ภาพแสดงใบพิเศษ เช่น ใบที่เปลื่ยนไปเป็นหนาม ใบที่เป็นกับดักแมลง



วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Animation Biology

การ์ตูนความรู้ จาก โรงเรียนแม่สรวยวิทยาคม อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

ราก






ลำต้น 




ใบ





"ใบและหน้าที่ของใบ" เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นการสรุปเนื้อหาเรื่องใบในวิชาชีววิทยา 

ในระดับชั้นม.5 โรงเรียนดอนเมืองจาตุรจินดา ปีการศึกษา 2554 




ดอก




ผลและเมล็ด